วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการวิเคราะห์ภาพถ่ายโดยใช้แนวคิด 4 แบบ




การวิเคราะห์ภาพถ่ายใน 4 แนวคิดได้แก่

วิเคราะห์ 1
การสร้างภาพ

1 วัตถุรูปธรรมหรือความเป็นสิ่ง สิ่งนั้น (The Thing Itself)
2 รายละเอียด (The Detail)
3 กรอบ (The Frame)
4 เวลา (Time)
5 มุมมอง (Vantage Point)


วิเคราะห์ 2
มองในฐานะของ Signifier/Signified

Signifier ………….( Reference?)

Signified……………

วิเคราะห์ 3
การสื่อความหมาย ตามแนวคิดสัญญะวิทยา

การเล่าเรื่องจัดระบบอย่างไร
วิธีการเล่าเรื่องหรือการให้สัญญะมีความหมายแฝงเร้นอย่างไร
ความหมายแผงเร้นนั้น สะท้อนโครงสร้าง ความคิดของคนกลุ่มต่างๆได้อย่างไร
กระบวนทัศน์ (paradigmatic) ที่นำมาประกอบชุด เข้าด้วยกัน นำมาแทนที่กันได้ การวิเคราะห์จะทำให้เรา เข้าใจภาพรวมของปรากฏการผ่านชุดของสัญญะได้

วิเคราะห์ 4
โดยใช้แนวคิด เรื่องของ Melancholycและ
ความน่าเกลียด/Tragedyในผลงานบางรูปแบบ








งานชิ้นนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แนวคิดเรื่อง เรื่องของ Melancholycและ
ความน่าเกลียด/Tragedyในการวิเคราะห์ เนื่องจากไม่มีความเด่นชัดเพียงพอ



เช่นกัน งานชิ้นนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แนวคิดเรื่อง เรื่องของ Melancholycและ
ความน่าเกลียด/Tragedyในการวิเคราะห์ เนื่องจากไม่มีความเด่นชัดเพียงพอ



งานชิ้นนี้ความเด่นอยู่ในเรื่อง ความน่าเกลียด น่าพรั่นพรึ่งของเรื่องที่ต้องห้าม ทำให้ต้องใช้แนวคิดเรื่อง เรื่องของ Melancholycและความน่าเกลียด/Tragedyในการวิเคราะห์ เพื่อจะให้เห็นถึงความโดดเด่นของตัวงาน

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Where is the Beauty( in Photography)?


• เราสามารถรู้จักความงามได้ แต่ความงามนั้นเป็นความงามที่เราต้องประจักษ์เองไม่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจเหมือนเช่นเราเข้าใจได้ (สว่างโพลงในความรู้) (Intuition = อัปฌัตติกฌาณ)
• เราสามารถรู้จักความงามได้ด้วยการมีความรู้สึกทางจิตใจ โดยอาศัยสื่อกลางนำมา ทำให้รับรู้และรู้สึก
• อาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ กล่าวถึงสุนทรียภาพไว้ว่า “…สุนทรียภาพ (Aesthetic) คือ ภาวะที่เป็นศิลปะ หรือมีความงาม ความรู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่งาม ความเป็นระเบียบของเสียงและถ้อยคำที่ไพเราะ…” (เน้นอัตวิสัย)
• พจนานุกรม ฉบับศิลปะ ของราชบัณฑิตยสถานกล่าวถึงสุนทรียภาพว่า “….สุนทรีย์ (Aesthetic) คือ เกี่ยวกับความซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งงดงาม ไพเราะหรือรื่นรมย์ ไม่ว่าจะเป็นของธรรมชาติ หรืองานศิลปะ ความรู้สึกนี้เจริญได้ด้วยประสบการณ์ หรือการศึกษาอบรม ฝึกฝนจนเป็นอุปนิสัย เกิดเป็นรสนิยมซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล…” (เน้นวัตถุวิสัย)
• สุนทรียภาพนั้นจำจะต้องใช้ทั้งอัตวิสัยผนวกกับวัตถุวิสัย ส่วนอะไรจะมีสัดส่วนมากหรือน้อยกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ


(เห็นด้วยหรือไม่)

Subjectivism (อัตวิสัยนิยม)

กลุ่ม Subjectivism (อัตวิสัยนิยม) กล่าวว่าที่ตั้งของความงามอยู่ในจิตใจของผู้เสพ (Delight) ซึ่ง Devid Hume นักปรัชญาชาวอังกฤษให้ทัศนะเกี่ยวกับความงามในแง่นี้ไว้ว่า


“Beauty is no quality in things themselves, it exists mearly in the mind. Which contemplates them, and each mind perceives a different beauty”
“ความงามไม่มีตัวตน อยู่แต่จิตของผู้เสพงานศิลปะนั้นเอง และแต่ละจิตใจก็รับรู้ในเรื่องความงามแตกต่างกัน”


Objectivism (วัตถุวิสัย)

กลุ่ม Objectivism (วัตถุวิสัย) มองเห็นว่าความงามนั้นมีอยู่จริง สามารถจับต้องได้ แต่การมีความงามนั้นจะเป็นความงามเชิงเดี่ยว (Simple) ซึ่งต้องอาศัยการเข้าถึงด้วย “อัชณตติกญาณ” (Intuition หรือความรู้จริงชัดแจ้งโดยฉับพลัน) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นตัวเราได้ (อนิรวจนีย) ต้องประจักษ์ความงามนั้นด้วยตนเอง




Relativism
(สัมพันธ์นิยม)


เป็นกลุ่มที่พยายามเสนอแนวคิดในเชิงประนีประนอมระหว่างกลุ่มแรกและกลุ่มที่สอง โดยให้ความเห็นว่า ความงามคือความสัมพันธ์กันอย่างลงตัวของบุคคลที่มองศิลปะและตัวงานศิลปะนั้น


ทฤษฎีความงาม




•ทฤษฎีความงาม เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากในทางสุนทรียศาสตร์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ตำแหน่งของความงาม หรือว่าความงามอยู่ที่ไหน ความงามนั้นไม่ว่าจะเป็นจิตวิสัยหรือวัตถุวิสัยก็ยังคงเป็นเรื่องที่ให้ความเห็นไม่ตรงกันอยู่นั่นเอง และทัศนะที่แตกต่างกันของนักสุนทรียศาสตร์เหล่านั้น ก็ก่อให้เกิดทฤษฎีทางความงามขึ้นหลาย ทฤษฎี ดังจะยกมาพอสังเขปดังนี้

•ความงามในธรรมชาติและความงามในศิลปะ
•ความงามในธรรมชาติ เป็นความงามที่ปราศจากการปรุงแต่ง เป็นความงามที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ เข่นชมทิวทัศน์ทุ่งทานตะวัน หรือชมพระอาทิตย์อัศดงที่ภูผาเป็นต้น
•ความงามในศิลปะ เกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจ ที่อยากแสดงออกทางสุนทรียภาพจากประสบการณ์ต่างๆ และขึ้นอยู่กับการสัมผัสของแต่ละบุคคล


ความงามเป็นคุณสมบัติของวัตถุ


•ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ เชื่อว่าวัตถุต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความงามในตัวของวัตถุเอง เช่น สวยเพราะสีสัน ทรวดทรง พื้นผิว ไม่ว่าเราจะสนใจวัตถุนั้นหรือไม่ การที่เราเริ่มให้ความสนใจในวัตถุนั้น ก็เป็นเพราะความงามของวัตถุนั้นนั่นเอง บุคคลที่ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ท่านหนึ่งก็คือ อริสโตเติล (Aristotle. 384-322 B.C) ท่านได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความงามที่เป็นวัตถุวิสัยนี้ว่า สุนทรีธาตุนั้นมีจริง โดยไม่ขึ้นกับความคิดของมนุษย์ สุนทรีธาตุ มีมาตรการตายตัวแน่นอนในตัวเอง ดังนั้น ความงามของวัตถุจึงเป็นความสมบูรณ์อันเกิดจากรูปร่าง รูปทรง สีสัน สัดส่วนที่ประกอบกันเข้าอย่างกลมกลืนมีความสมดุล จึงถือว่าความงามที่เป็นวัตถุวิสัยหรือสุนทรียธาตุนั้นเป็นความงามที่สมบูรณ์แบบ


ความงามคือความรู้สึกเพลิดเพลิน


แนวคิดตามทฤษฎีนี้กล่าวคือ การที่เรามองเห็นคุณค่าของความงามในสิ่งใดใดก็แล้ว จิตเป็นตัวกำหนดความงาม ซึ่งเพลโต นักปรัชญาชาวกรีก (Plato 472 -347 B.C) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องของความงามว่า ความงามที่แท้จริงนั้นอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ (World of Idea) เขาเชื่อว่าความงามอยู่ที่จิตเป็นตัวกำหนด ส่วนความคิดนั้นอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกนี้ กล่าวคือจิตต้องสร้างต้นแบบแห่งความงามขึ้น สิ่งใดที่มีลักษณะใกล้เคียงกับจินตนาการในต้นแบบมากเพียงใด ย่อมถือว่าเป็นความงามเพียงนั้น ความชอบความเพลิดเพลินในเป็นสิ่งแสดงถึงคุณค่าตามมา


ความงามเป็นสภาวสัมพัทธ์
นักคิดบางคนเชื่อว่าความงามไม่ใช่เป็นจิตวิสัยอย่างสิ้นเชิง และก็ไม่ใช่เป็นวัตถุวิสัยอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน แต่เป็นภาวสัมพัทธ์ระหว่างวัตถุกับบุคคล ทัศนะนี้ก็นับว่ามีส่วนถูกต้องอยู่ที่การยอมรับว่าทั้งบุคคลและ วัตถุมีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ในการตีคุณค่าทางสุนทรียะ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งสองสิ่งดังกล่าวนั้น เป็นรากฐานรองรับคำว่าคุณค่าทางสุนทรียะ เพียงแต่ว่าตัวความสัมพันธ์เองนั้นไม่ใช่เป็นตัวความงามหรือตัวคุณค่าทางสุนทรียะ เพราะฉะนั้นการที่จะอธิบายว่าความงามคือสภาวสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจึงเป็นคำอธิบายที่ไม่ถูกนัก

กรณีศึกษา
การสร้างและศึกษารูปทรง ของ คาร์ล บลอสเฟลดท์  (Kral Blossfeldt)  และ ความเหนือจริงของปารีสใน ภาพของยูจีน อาเช่ (Eugene Atget)

ในช่วงต้นของ ศตวรรษที่ 20 การใช้ภาพถ่ายเพื่อเป็นเครื่องมือในการ บันทึกรูปแบบหรือเป็นหลักฐาน หรือเป็นการเก็บข้อมูล มีการใช้อย่างแพร่หลาย คาร์ล บลอสเฟลดท์ (Kral Blossfeldt ..1856-1932) ประติมากรชาวเยอรมันใช้การบันทึก ภาพเพื่อศึกษารูปทรง ของพืช โดยนำส่วนต่างๆของพืช มาถ่ายภาพในระยะใกล้ และอัดขยายออกเพื่อศึกษารูปร่างรูปทรง ของพืช แต่เมื่อเขาบันทึกภาพเป็นจำนวนมากเข้าก็ค้นพบ ว่าภาพถ่ายส่วนต่างๆ ของพืชเป็นสิ่งที่น่าสนใจโดยตัวมันเอง  เขาจึงทำการรวบรวมภาพและตีพิมพ์หนังสือ Urformen der Kunst"(The original art) (ภาพที่ 124) นำเสนอภาพถ่ายของพืชที่เขาได้บันทึกไว้
คาร์ล บลอสเฟลดท์ ได้สร้างแนวทาง ของการถ่ายภาพที่มีจุดประสงค์ ที่ชัดเจน ไม่มีการสร้างอารมณ์ หรือการสร้างความหมายโดยใช้ เทคนิคการถ่ายภาพ ที่เรียกว่า Objective Photography  ซึ่งจะกลายเป็นแนวทางสำคัญของภาพถ่ายเยอรมันในเวลาต่อมา







ในขณะที่ ยูจีน อาเช่ (Eugene Atget (..1857-1927)) ช่างภาพชาวฝรั่งเศส บันทึกภาพของปารีสอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็น อาคาร ถนน ตรอก ซอย หน้าต่างร้านค้า  ด้วยกล้องขนาดใหญ่ ภาพของเขามักจะถูกซื้อโดยศิลปินเพื่อนำไปเป็นแบบในการวาดภาพ ลักษณะของภาพจะเป็นภาพเมืองที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน (ภาพที่ 126)  เนื่องจาก เขาใช้เพลทกระจกขนาดใหญ่รุ่นเก่าที่ใช้เวลาในการบันทึกภาพนาน ภาพจึงมีบรรยากาศของเมืองที่ดูแปลกต่าง ภาพปารีสในมุมต่างๆ ของอาเช่ ไม่ได้เพียงแค่บอกว่านี่คือเมืองอะไร หากแต่จะสื่อสารกับผู้ชมถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเมืองที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต ในลักษณะที่เรียกกันต่อมาว่า “Subjective Photography” แมนเรย์ ศิลปินดาดาและเซอร์เรียลริส กล่าวถึงงานของอาเช่ว่ามีความเหนือจริงในบรรยากาศของสถานที่ต่างๆ ที่เขาถ่ายภาพ ภาพของอาเช่กลายเป็น ฐานสำคัญให้กับช่างภาพที่สร้างสรรค์งานในรูปแบบของเซอร์เรียลลิส ที่มักจะนำภาพถ่ายมาสร้างงานศิลปะตามที่ตัวเองรู้สึกต่อสิ่งต่างๆผ่านรูปแบบที่เป็นจริงของภาพถ่าย
 



ภาพทั้งหมดจาก http://masters-of-photography.com


















photography

ความหมายของการถ่ายภาพ


การถ่ายภาพแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Photography มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือคำว่า Phos หมายถึง Light ที่หมายความถึง แสง และคำว่า Graphein หมายถึง writing การเขียน ดังนั้น Photography (การถ่ายภาพ) จึงหมายความว่า writing with light ซึ่งก็หมายความถึงการเขียนด้วยแสงหรือการทำให้เกิดภาพด้วยแสง


ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คำ จำกัดความว่า การถ่ายภาพ ว่า การถ่ายรูป คือบันทึกภาพโดยวิธีให้แสงจากสิ่งที่จะถ่ายไปลงบนแผ่นวัสดุใสเช่นฟิล์ม กระจกถ่ายรูป, ชักรูป


ในพจนานุกรมแปล ไทย-ไทยของ อ.เปลื้อง ณ นครให้ความหมายการถ่ายรูปว่า ก. ถอดรูป, จำลองรูปด้วยวิธีฉายเงาบนกระจกหรือฟิล์ม ในส่วนของภาพถ่าย


ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คำ จำกัดความว่า คือ รูปถ่าย อันได้แก่น. ภาพที่บันทึกไว้ด้วยวิธีให้แสงผ่านฟิล์มรูปเป็นต้นลงบนแผ่นวัสดุไวแสง เช่น กระดาษอัดรูป แล้วนำไปล้างตามกรรมวิธีเพื่อให้รูปปรากฏ




การถ่ายภาพนั้นมีความสำคัญกับมนุษย์เป็นอย่างมากนับตั้งแต่มีการค้นพบการถ่ายภาพ ภาพถ่ายถูกใช้ในกิจกรรมต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น


•ภาพเพื่อใช้ในการบันถึงเป็นหลักฐาน อันได้แก่ภาพข่าว ภาพหลักฐานในการพิจารณาคดีและการสอบสวน ภาพถ่ายติดบัตร
•ภาพที่ใช้ในการสำรวจพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ต่างๆ
•ภาพที่ใช้ในการสื่อสารอันได้แก่ ภาพถ่ายโฆษณา ภาพถ่ายแฟชั่น ภาพถ่ายประกอบสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ
•ภาพถ่ายในฐานะงานศิลปะ ภาพถ่ายในฐานะที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำของแต่ละบุคคล


ภาพถ่ายในฐานะที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำของแต่ละบุคคล

จากการใช้งานที่หลากหลายของการถ่ายภาพทำให้ภาพถ่ายกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงและสร้างสรรค์ได้ด้วยตนเอง ในบทนำของ หนังสือ ความสุขกับการถ่ายภาพที่จัดทำโดยบริษัทโกดัก ได้ยกคำพูด ของ เอินสท์ ฮาส ช่างภาพชาวออสเตรีย ที่ได้กล่าวว่า



“ ถ้าศิลปะแบบอื่นเป็นเสียงของวิสามัญชน การถ่ายภาพก็เป็นเสียงของสามัญชนนั่นเอง ด้วยสายตาที่เพ่งพินิจ ด้วยจิตนาการบางอย่างในหัวใจ ด้วยมืออันเขม็งแน่วรวมทั้งความรู้ในทางเทคนิคบ้างเล็กน้อย ใครๆก็อาจถ่ายภาพอันเป็นที่น่าสนใจได้”


ภาพถ่ายได้กลายเป็นของทุกคนและภาพถ่ายก็ได้กลายเป็นเครื่องมือที่บันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมา ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นพึ่งเกิดขึ้น ภาพถ่ายกลายเป็นเสียงของผู้คน และได้กลายเป็นภาษาสากลที่ทุกคนในโลกสามารถเข้าใจได้



 ภาพจาก google.com

ภาพถ่ายทำให้เรา เห็นอดีตอย่างน้อยที่สุดก็ตรงไปตรงมา ก่อนการมาถึงการถ่ายภาพ เราไม่มีทางรู้เลยว่าดวงหน้าในอดีตนั้นเป็นเช่นไร ภาพของพระราขาในอดีตเป็นเพียงจิตนาการตามข้อมูลตัวอักษรในพงศาวดารเท่านั้น คราบจนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่มีภาพถ่ายของพระองค์ทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาของอดีต 

ภาพถ่ายพูดความจริงได้หรือไม่ 
ความจริงในภาพถ่าย เบื้อต้นก็คือสิ่งที่ปรากฏในภาพนั้น ถ้าสิ่งนั้นมีอยู่มันก็มีอยู่ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งปลอมภาพถ่ายก็เป็นภาพของสิ่งปลอม  ตัวภาพที่เป็นสองมิติเป็นเพียงกรอบที่บรรจุ ชุดข้อมูลเท่านั้น

Add http://pro.magnumphotos.com/C.aspx?VP3=SearchResult&VBID=2K1HZO4PZZVSN6&SMLS=1&RW=1280&RH=647caption

https://metmuseum.org/exhibitions/view?exhibitionId=%7B36d81705-241d-4934-ab02-fd7c8dbbb3e5%7D&oid=302289

https://www.christies.com/lotfinder/Lot/steve-mccurry-b-1950-afghan-girl-5636201-details.aspx











Character of  Photography
ประกอบด้วยพื้นฐานหลัก คือ
Time 
ปัจจุบัน
เสี้ยวขณะ Peak Moment
เสี้ยวขณะตัดสินใจ
พื้นที่ /Space
 การกำหนดกรอบ 
การจัดวาง
วัตถุ
ต้องมีสิ่งของให้ บันทึก
เล่าเรื่องผ่านสิ่งของ

ความหมายของภาพถ่าย 

ความหมายถูกสร้างจาก ผู้ถ่ายภาพหรือจากในสิ่งของที่อยู่ในภาพ
ความหมายที่ปรากฏ เป็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่าง subjective กับ Objectivism
ความหมายในภาพมีลักษณะที่เป็นตัวสัญญะ มีความเปลี่ยนแปรได้ ตามแต่ละบริบท\


ลักษณะทางกายภาพของภาพถ่าย

ความเป็นพื้นผิว ที่เป็นสองมิติ จำกัดอยู่ในขอบเขตของกรอบ
ความเป็นตัวแทนของสิ่งนั้น เรื่องนั้น เวลานั้น
ความหมายกลายเป็นความรู้สึกที่ สัมพันธ์กับผู้ชม

ระดับของ ความหมายในภาพถ่าย

ลักษณะทางกายภาพThe Physical Level
ระดับของการบรรยายThe Depictive Level
ระดับของ จิตใจThe Mental Level








ภาพถ่ายเป็นภาพนิ่งสองมิติ อยู่บนแผ่นกระดาษ และอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเสมอ ดังนั้นผู้ดูภาพจะเห็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้น บันทึกไว้ภายในกรอบสี่เหลี่ยมนี้ ความเป็นจริงในภาพถ่ายเป็นเสมือนความเป็นจริงที่มองผ่านสายตาของช่างภาพ จอห์น ชาร์เคาสกี้ (John Szarkowski) อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ นิวยอร์ค ได้วิเคราะห์และสรุปลักษณะเฉพาะของงานภาพถ่ายที่อาจจะเปรียบเป็นแนวทางในการอธิบายรูปแบบของ ภาพถ่ายโมเดินนิสอเมริกัน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแยกออกเป็น 5 หัวข้อคือ


1 วัตถุรูปธรรมหรือความเป็นสิ่ง สิ่งนั้น (The Thing Itself)
2 รายละเอียด (The Detail)
3 กรอบ (The Frame)
4 เวลา (Time)
5 มุมมอง (Vantage Point)





1 วัตถุรูปธรรมหรือความเป็นสิ่ง สิ่งนั้น (The Thing Itself)

การถ่ายภาพคือการบันทึกสิ่งที่มีอยู่ คือความเป็นสิ่งของของตัวสิ่งนั้นเอง เบื้องต้นการสร้างภาพของภาพถ่ายเกิดจากสิ่งของที่กล้องได้บันทึก ตรงหน้า ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการถ่ายภาพ แมว ช่างภาพจะต้องหาแมวมาถ่ายภาพให้ได้ เขาหรือเธอจะไม่สามารถสร้างแมวขึ้นจากความว่างเปล่าโดยไม่มีแมวอยู่ตรงหน้าได้เลย แต่จิตกรสามารถสร้างแมวขึ้นมาได้ด้วยสีและภู่กันโดยไม่ต้องมีแมวอยู่ตรงหน้า (ถ้าหากทำขึ้นมาภาพสิ่งนั้นจะไม่ถูกเรียกว่าภาพถ่าย) ดังนั้นภาพถ่ายจึงเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจากสิ่งที่มีอยู่จริงๆเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าสิ่งที่ของที่เป็นจริงนั้นตั้งอยู่ตรงหน้า ช่างภาพก็จำเป็นต้องนำเสนอรูปแบบที่เป็นการนำเสนอโลกแห่งความจริงในแบบที่ตนต้องการ เพราะภาพถ่ายกับสิ่งที่ถูกถ่ายภาพนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ภาพคือสิ่งที่เขานำเสนอต่อโลก ไม่ใช้สิ่งของที่เขาถ่าย 

2 รายละเอียด (The Detail)
เมื่อสิ่งที่ปรากฏในภาพถ่ายเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของสิ่งที่มีอยู่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยกภาพในสตูดิโอที่สามารถจัดเหตุการณ์ได้ (หรือการจัดฉาก) แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะจัดหรือไม่จัดสิ่งที่ถูกบันทึกก็คือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ (Thing Itself) ตั้งนั้นช่างภาพจำเป็นจะต้องนำเสนอรายละเอียด ของสิ่งที่มีให้ชัดเจนเพราะภาพถ่ายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุการณ์และห้วงเวลาทั้งหมด การนำเสนอรายละเอียดนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เนื้อหาของภาพปรากฏ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆเพื่อสร้างความหมาย หากแต่ไม่ใช้ความหมายของเหตุการณ์ทั้งหมด ภาพถ่ายเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆของเหตุการณ์ที่ใช้ส่วนของเหตุการณ์สร้างเนื้อหาและความหมาย ซึ่งหากภาพถ่ายไม่สามรถนำเสนอเรื่องราวในภาพได้ ภาพถ่ายก็ไม่สามารถนำเสนอตัวเองในสถานะของสัญลักษณ์ ได้

3 กรอบ (The Frame)

กรอบของภาพเป็นข้อจำกัดทางกายภาพสิ่งแรกของการถ่ายภาพ ในทางกลับกัน กรอบกลับเป็นเครื่องมือสำคัญในการแยกส่วนของเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องเลื่อนไหลไปตามเวลาของโลก ไม่ว่าเหตุการณ์การณ์นั้นจะยิ่งใหญ่หรือสำคัญเพียงใด ในภาพถ่ายเหตุการณ์เหล่านั้นมีขอบเขตแต่เพียงในกรอบของภาพ หรือในช่องมองภาพที่ช่างภาพได้เลือกแล้วว่าจะทำการเล่าเรื่องเหตุการณ์หรือเรื่องของสิ่งนั้นเพียงใด การถ่ายภาพคือการเลือก สิ่งที่ปรากฏรายล้อมตัวผู้ถ่ายภาพ ช่างภาพจะเป็นผู้กำหนด เลือกว่าจะบันทึกภาพสิ่งใด นั่นก็คือการเลือกที่จะนำสิ่งใดเข้ามาในกรอบภาพ

4 เวลา (Time)

การถ่ายภาพคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเวลา ตั่งแต่กลไกการบันทึกภาพ เวลาของการเปิดรับแสง ช่วงเวลาที่ถูกหยุดไว้ ดังนั้นเวลาจึงเป็นสิ่งที่สัมพันธ์ที่พิเศษกับภาพถ่ายเสมอ และแน่นอนว่าเวลาในภาพถ่ายคือปัจจุบันเสมอ ช่างภาพค้นพบเศษเสี้ยวของเวลาที่เห็นจากภาพ อันดวงตาปกติของมนุษย์ไม่มีวันเห็นได้ ดังเช่น มัวร์บริจน์ เห็นขาของม้าลอยในอากาศพร้อมๆกัน เมื่อภาพถ่ายได้หยุดเสี้ยวเวลานั้นไว้ ในทางตรงกันข้ามเขากลับสามารถเพ่งพินิจการลอยของขาทั้ง4 ได้ตราบนานเท่านานในภาพถ่าย เวลาในภาพเป็นปัจจุบันเสมอ ขาของม้าในภาพจะลอย ไม่มีวันไปต่อจากนั้น และสิ่งที่เกิดก่อนหน้านั้นก็จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรับรู้ได้ เวลาในภาพถ่ายจึงมีเพียงปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีอดีต และไม่มีอนาคต
ช่างภาพจำเป็นต้องมองหาความงามในเศษเสี้ยวของเวลาให้ได้ ดังที่ คาเทียร์ เบรนซอง ได้กล่าวว่า ในห้วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ในการถ่ายภาพ ช่างภาพต้องหยุดการเลื่อนไหลของเวลา ที่มีความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆที่เลื่อนไหลไปกับเวลาเข่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความรูปทรง จังหวะที่สมดุลเหมาะสม เพื่อทำให้ภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพถ่ายที่สมบรูณ์

5 มุมมอง (Vantage Point)

มุมมอง คือสิ่งที่ถ่ายทอด ความคิด ของช่างภาพ การสร้างมุมมองก็คือการสร้างความคิด เมื่อช่างภาพเผชิญหน้ากับเหตุการณ์หรือสิ่งของที่เขาหรือเธอต้องการจะบอกเล่าผ่านภาพถ่าย เขาจะต้องมีมุมมองที่สื่อสารความคิดของเขาได้ หากเขาสามารถเลื่อนปรับย้ายสิ่งที่เขาจะถ่ายภาพได้เพื่อมุมมองของเขาก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ หากเขาไม่สามารถย้ายสิ่งเหล่านนั้นได้ เขาก็ต้องย้ายตัวเอง
เมื่อพวกเขา(ช่างภาพ)เห็น ภาพรวมของเรื่องราวเหตุการณ์แล้ว เขาจำเป็นต้องสร้างมุมมองมากมายไม่ว่าจะเป็นมุมสูงมุมต่ำ มุมที่เข้าใกล้ หรือ ถอยห่าง เพื่อที่จะเป็นการจัดสรรสิ่งๆต่างในกรอบภาพให้สื่อสารสิ่งที่เขาคิดผ่านภาพถ่าย นอกจากนี้ ช่างภาพไม่เพียงแต่แสดงเหตุการณ์ออกมาผ่านภาพถ่าย เขาจำเป็นจะต้องใช้มุมมองในการสร้างความหมายที่เขาต้องการให้กับภาพถ่ายของเขาด้วย



รูปแบบการวิเคราะห์ภาพโดยใช้แนวทางทั้ง 5





















เอกสารอ้างอิง

John Szarkowski; The Photographer's Eye 2007,The Museum of Modern Art, New York

Mary warner Marien , “Photography A Cultural History”, second Edition, Laurence King Publisher Ltd., London, UK, 2006
Naomi Rosenblum, “A World History of Photography”, Revised Edition, Abbeville Press ,New York , USA,1984
Ian Jeffrey, “Photography A Concise History”, Thames &Hudson Ltd., London, UK,2003

ภูมิกมล ผดุงรัตน์ 2010 :ภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่ ในยุโรป และ สหรัฐอเมริกา,
://poomkamol.blogspot.com (สืบค้นเมื่อ ธันวาคม 2558)