วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปรัชญาศิลปะในยุคกลาง



ศาสนาคริสต์ ได้รับการเผยแผ่อย่างกว้างขวางในประชาคมยุโรปทั้งด้วยอิทธิพลทางศาสนาและอิทธิพลทางการเมืองมาตั้งแต่ปลายยุคจักรวรรดิ์โรมัน  ทั้งนี้เพราะศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและถ่ายทอดความรู้ชั้นสูงของอารยธรรมกรีก    เช่น ศิลปวิทยาการ  วิทยาศาสตร์และปรัชญา  จึงกล่าวได้ว่า  กระแสปรัชญาศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของชาวตะวันตกและอารยธรรมแบบตะวันตกอย่างฝังรากลึก 

โลกมีความจริงแท้ทั้ง  ความจริงแท้ทางจิตวิญญาณและความจริงทางกายภาพ  การจะเห็นเอกภาพของความจริงทั้ง 2 แบบนี้ได้   ต้องเข้าใจถึง หลักแห่งการดำรงอยู่ (the principle of existence)   ปรัชญาของเพลโตช่วยให้ท่านเข้าใจในหลักศรัทธาของศาสนาคริสต์ อย่างมีเหตุมีผล   ที่นำไปสู่       การมีภูมิปัญญา     สำหรับท่านแล้ว   ภูมิปัญญาที่แท้จริง คือ ภูมิปัญญาแห่งศาสนาคริสต์ จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างเทววิทยากับปรัชญา ความรู้ทั้งหลายย่อมนำไปสู่การช่วยให้มนุษย์ได้รู้จักกับพระเจ้า
จิตสามารถรับรู้ความจริงได้แน่นอนก็เพราะว่าจิตสามารถรับรู้ในเอกภาพของความจริง  และจิตรับรู้ความจริงได้จากการมีความรู้ในสัมพันธภาพระหว่างสิ่งทั้งหลายนั่นเอง

กิจกรรมทางผัสสะของมนุษย์มีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ ได้แก่ (1) วัตถุที่รับกระทบ  (2) อวัยวะที่เป็นที่ตั้งของการรับผัสสะ  (3) กิจกรรมของจิตใจ  การมีจินตภาพของวัตถุนั้น  และ  (4) สิ่งที่เป็นอสภาวะของวัตถุนั้น เช่น ความงาม (beauty)  เป็นอสภาวะของวัตถุที่จิตใช้ตัดสินพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่รับกระทบทางผัสสะเวทนา  ความรู้จึงพัฒนามาจากความรู้ทางผัสสะเวทนา  ที่เป็นการรับรู้จากระดับต่ำไปสู่การรับรู้ความจริงสากลในระดับที่สูงขึ้น  และความรู้ในระดับที่สูงที่สุดคือ  ความรู้ในพระเจ้า

ศิลปะวัตถุ ทำหน้าที่ แสงสว่างหรือนำไปสู่การยั่งรู้แจ้งทางจิต เกิดแสงสว่างภายในจิตใจ  ความงามต้องนำไปสู่การยกระดับของจิต  ถูกใช้อธิบายในทางศาสนาทุกศาสนา  ประตูเข้าสู่สวรรค

From Plato to Aristotle == idealist to mathematic calculation in forms, proportions and ideas (Descartes) è perfect orders graspable.


Thomas Aquinas (1225 – 1275)
นักปรัชญาในยุคกลาง ได้
 อธิบายการดำรงค์อยู่ของ พระเยซูในฐานะสถาบัน
สร้างความเชื่อบนพื้นฐานของ แนวคิดพลาโตใหม่ Neo Platonic   ซึ่งนำมาใช้อธิบายการเป็นอยู่และการดำรงค์อยู่ของ พระเจ้า และโลกของคริตเตียน

 จะสร้างหลักการที่โลกแห่งสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้าสัมพันธ์กับโลกของมนุษย์อย่างไร
นามธรรม สู่รูปธรรม
ศิลปิน อยู่ภายใต้แนวคิด ผสมผสานของ  P A C โดยอาศัยความเชื่อเชิงประวัติศาสตร์  ที่สามารถอธิบายได้อย่างมีรูปธรรม มีการสร้างรูปเหมือนของพระเยซูให้ชัดเจนขึ้นจากเดิมใช้กางเขน เป็นสัญลักษณ์
ความเชื่อที่พิสูจน์ได้ต้องอธิบายด้วยเหตุผล สัจธรรมต้องอธิบายด้วยเหตุผล
โดยการนำแนวคิดแบบ พลาโต ที่อธิบาย โลกที่มีอยู่ชั่วนิรันด์ ที่สัมพันธ์กับโลกแห่งปรากฏการที่เต็มไปด้วยความเสื่อมสลาย
ศาสนจักรยึดโยง โลกแห่งแบบ เพื่อจะนำทางโลกที่เสื่อโทรมไปสู่โลกชัวนิรันด์

ความหลากหลายนั้นมีต้นแบบ ศาสนจักรเป็นผู้นำไปสู่ต้นแบบ
สิ่งที่สำคํญของหลักการคือความเป็นเอกภาพ

องค์ประกอบของความงาม ประกอบด้วย 3 สิ่งคือ    
ความลงตัว (Intrigity) ความสมบูรณ์แบบ สะท้อนถึงความมีเอกภาพ (Unity)
สัดส่วนสมบูรณ์ (proper proportion) สะท้อนสัญลักษณ์ของความดี (Goodness)
ความกระจ่างชัด (clarity) สะท้อนความจริง (truth)
ตามความคิดของ Aquinas ศิลปะสูงส่งจะต้องมาจากวัสดุที่มีค่า และอุดมคติใน การสร้าง รูปทรงจะเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความงาม เพราะมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ความ มีเอกภาพ ความงดงาม ความจริง ได้ด้วยตนเอง จะต้องรับรู้ผ่านรูปทรง ศิลปะจึงสะท้อนความจริง สูงสุดในเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า

  แนวคิดหลักที่ปรากฏในยุคกลางคือ ผลงานที่ยิ่งใหญ่ต้องนำไปสู่การรู้แจ้งทางจิต และเกิดแสงสว่างภายในจิตใจ เช่น พระพุทธรูป สะท้อนถึงการรู้แจ้งภายในจิตใจ และแสงสว่างของความจริง ก็จะนำไปสู่แสงสว่างของชีวิต และนำไปสู่พระผู้เป็นเจ้า

• แนวคิดในยุคกลางเป็นการรวมแนวคิดของเพลโตและแนวคิดแบบ Neo-Platonic ผสาน รวมกับการรับรู้ทางประสบการณ์ (the sensible forms and images) จนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ ที่จะนำไปสู่ความจริงแท้ ด้วยเหตุนี้งานศิลปะที่ดีจึงต้องเป็นงานที่สร้างประสบการณ์การเข้าถึง พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นเจ้าของพรสวรรค์ ความสามารถของศิลปิน
• ลักษณะการออกแบบผลงานศิลปะในยุคกลางนี้เป็นการผสานแนวคิดสุนทรียศาสตร์ ความงามแบบดั้งเดิม ที่มองว่าสัดส่วนต้องคำนวณได้ มีรูปแบบ และสะท้อนแนวคิดโลกสมบูรณ์ อยู่เบื้องหลัง ผ่านการสร้างสรรค์ของศิลปิน ผู้ได้รับพรสวรรค์มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดย แนวความคิดเหล่านี้ เป็นอิทธิพลสืบเนื่องมาจากการรวมแนวคิดของเพลโตและอริสโตเติล เข้าด้วยกัน
แนวคิดของ Aquinas+นวัตกรรมของการสร้างงานแบบโกธิค นำมาสู่การใช้ มุมมองตามธรรมชาติ (Naturalistic view)

แนวคิดนี้ปรากฏชัดเจนในลักษณะการออกแบบโบสถ์ในยุคโกธิค มีการออกแบบโบสถ์ โดยมีหน้าต่างหลายบาน ซึ่งสะท้อนแนวคิดแสงสว่าง ความกระจ่างชัด (clarity) คือความงาม (ในที่นี้แสงสว่างนั้นหมายรวมถึงแสงสว่างตามธรรมชาติ และแสงวาววับของวัตถุ) อันสะท้อนถึง แสงสว่างทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งผู้สอนให้ทัศนะว่า แสงจากธรรมชาตินี้เอง (natural light) ได้ถูกพัฒนาจนกลายมาเป็นหลักการออกแบบองค์ประกอบศิลป์ทางศิลปะ (perspective) ในยุคต่อมาที่มองความสวยงามว่าจะต้องวัดและคำนวณได้